หน้าแรก » ร่างกายของเรา (page 4)

ร่างกายของเรา

8 วิธีแก้ปัญหาฟันเหลือง ทำอย่างไรให้ฟันขาวดั่งใจ ด้วยวิธีฟอกแบบธรรมชาติ

8 วิธีแก้ปัญหาฟันเหลือง ทำอย่างไรให้ฟันขาวดั่งใจ ด้วยวิธีฟอกแบบธรรมชาติ

ฟันของมนุษย์นั้นเมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่ง มักจะค่อยๆ เหลืองลงเรื่อยๆไม่ขาวเหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะต้องสัมผัสกับอาหารรูปแบบต่างๆ ที่มนุษย์กินอยู่ทุกวันนั่นเอง ซึ่งเจ้าอาหารบางชนิดก็มีสารที่คอยทำลายเคลือบฟันอยู่ด้วย หรือบางครั้งอาหารบางจำพวกก็มักจะทิ้งคราบหลงเหลือไว้บนฟันของเราได้เช่นกัน เมื่อมันเกาะตัวหนามากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้ฟันของเราเหลืองลงได้เรื่อยๆ ดังนั้นวันนี้เราจึงมีคำแนะนำดีๆ ในการช่วยให้ฟันที่เหลืองดูไม่สวยของเรานั้น กลับมาขาวแวววาวได้เหมือนเดิมกันค่ะ 1. รับประทานผักผลไม้บางจำพวกที่ต้องเคี้ยว เช่น แอปเปิ้ล ซึ่งมีสารขัดฟันอยู่ในตัว และผักบางชนิด เช่น แครอท ก็มีเนื้อแข็ง ขณะที่กำลังเคี้ยว เนื้อของผลไม้ชนิดนี้ก็จะช่วยไปขัดคราบเหลืองๆ บนฟันออกได้ วิธีนี้เป็นวิธีดั้งเดิมที่เคยใช้ได้ผลบ้าง แต่ข้อเสียคือไม่สามารถทำให้ฟันขาวขึ้นได้อย่างถาวร 2. ใช้สมุนไพรจากธรรมชาติในการขัดฟัน เช่นเกลือ มะนาว ใบข่อย เปลือกกล้วย เหล่านี้มีสารในการขจัดคราบสกปรกบนฟัน สามารถช่วยให้คราบฟันนั้นหลุดออกไปได้ เพียงแต่ต้องใช้อย่างต่อเนื่องและไม่ควรขัดฟันแรงเกินไปนัก เพราะอาจจะทำให้เคลือบฟันเกิดความเสียหายได้ 3. ขูดหินปูน ทุกๆ 6 เดือน บางครั้งคราบเหลืองๆ ของฟันนั้นเกิดมาจากหินปูนที่สะสมอยู่มาก ดังนั้นก่อนอื่นเลยคงต้องทำการกำจัดเจ้าหินปูนนี้ออกไปให้หมดเสียก่อน 4. ใช้ผลิตภัณฑ์ฟอกฟัน ส่วนใหญ่มักมาในรูปของยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของ สารฟอกฟันซึ่งจะช่วยทำให้ฟันของคุณขาวกระจ่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ข้อแนะนำก็คือก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ควรแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโพแทสเซียมไนเตรด (Potassium Nitrate) เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ก็เพราะมันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเคลือบฟันของคุณ ไม่ทำให้เปราะบางจนเกินไป 5. ใช้น้ำมะนาว เพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด และคุณสมบัติที่เหมือนสารฟอกขาวนี้เอง …

อ่านต่อ »
5 วิธีรักษาจุดด่างดําบนใบหน้าที่เกิดจากสิว ขจัดรอยด่างดำด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ

5 วิธีรักษาจุดด่างดำบนใบหน้าที่เกิดจากสิว ขจัดรอยด่างดำด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ

สิวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะหากมันขึ้นมาที่ใบหน้า เพราะนอกจากมันจะทำให้ใบหน้าของเราดูไม่สะอาด ไม่สบายตาเท่าที่ควรจะเป็นแล้ว ยังส่งผลให้เกิดหลุม หรือจุดด่างดำขึ้นมาบนใบหน้าของเราได้อีก ทั้งนี้เจ้าจุดด่างดำที่ว่านี้ยิ่งเลวร้ายกว่าสิวอีกค่ะ เพราะมันทำให้ใบหน้าสวยๆ ของเราดูหมองคล้ำไม่น่ามอง ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเจ้าสิวจอมวายร้ายเลย ดังนั้นวันนี้ เราจึงมีวิธีแก้ไม่ให้ใบหน้าเป็นจุดด่างดำจากสิวแบบง่ายๆมาฝากกันค่ะ 1. มะนาว เป็นสมุนไพรที่หาได้ง่ายตามบ้านค่ะ และเจ้ามะนาวนี่ก็มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ (AHA, Alpha Hydroxy Acids) ซึ่งมีช่วยในการลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดร่วงออกไป นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้เซลล์ผิวเกิดใหม่นั้นสามารถผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายไปแล้วได้อย่างรวดเร็วภายใน 3 สัปดาห์ค่ะ วิธีใช้ก็แค่ผสมมะนาวกับโฟมล้างหน้า หรือจะใช้โฟมล้างหน้าประเภทที่มีมะนาวเป็นส่วนประกอบก็ได้เช่นกัน 2. ขมิ้นชัน เป็นอีกสมุนไพรหนึ่งที่มีฤทธิ์ในการกำจัดเซลล์ผิวเสียที่ตายแล้วค่ะ นอกจากนั้นยังช่วยหยุดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย วิธีการใช้งานก็แค่หาขมิ้นชันแบบผงที่ขายกันอยู่ทั่วไปตามตลาด หรือห้างสรรพสินค้า นำมาผสมกับโยเกิร์ตและน้ำมะนาว แล้วนำมาแตะแต้มที่สิวก่อนนอนประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้นจะรู้สึกได้ถึงความเกลี้ยงเกลาของใบหน้า และรูขุมขนกระชับขึ้น สุดยอดไปเลย 3. หอมแดง ในหอมแดงจะมีสารที่มีคุณสมบัติสามารถยับยั้งแบคทีเรียบนผิวหนังได้ วิธีทำก็ง่ายๆ เพียงแค่นำหอมแดงมาปอกเปลือกให้เกลี้ยงและล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาฝานเป็นแผ่นบางๆหรือจะสับให้ละเอียดก็ได้ เสร็จแล้วนำมาโปะไว้บนจุดที่เป็นสิวหรือมีรอยด่างดำ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวัน 3-4 วันจะเห็นว่าหัวสิวค่อยๆยุบตัวลง ส่วนรอยด่างดำก็จะดูจางลงอย่างเห็นผลได้ชัด 4. ล้างหน้าด้วยสบู่สมุนไพรต่างๆ ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด เช่นสบู่ขิง สบู่มังคุด สบู่ว่านหางจรเข้า …

อ่านต่อ »
6 ขั้นตอน วิธีติดขนตาปลอมแบบง่ายๆ สำหรับมือใหม่ ติดอย่างไรให้ดูเป็นธรรมชาติ

6 ขั้นตอน วิธีติดขนตาปลอมแบบง่ายๆ สำหรับมือใหม่ ติดอย่างไรให้ดูเป็นธรรมชาติ

ความสวยงามของผู้หญิงจัดได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้นสำหรับผู้หญิงแล้วการแต่งหน้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้สวยได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง แต่ถ้าเรื่องของการแต่งหน้านั้นก็อาจจะต้องทำหลายอย่างและสิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าสำคัญอย่างมากเลยทีเดียวนั่นก็คือ การติดขนตาปลอม ซึ่งสำหรับการติดขนตาปลอมอาจจะมองว่าง่าย แต่ในความจริงแล้วนั้นถือเป็นเรื่องยากพอสมควร สำหรับวิธีติดขนตาปลอมนั้นก็มีดังนี้ อุปกรณ์ เริ่มจากส่วนแรกที่จะต้องมีการจัดเตรียมตั้งแต่ต้น ก็คือ ขนตาปลอม กาวติดขนตา มาสคาร่า (สีใกล้เคียงกับขนตา และเป็นเนื้อแมตช์) แหนบ วิธีติดขนตาปลอม ขั้นที่ 1  เมื่อนำขนตาออกมาจากกล่องแล้ว ให้นำมาทาบที่ตาก่อน เนื่องจากจะต้องดูว่ามีความพอดีมากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าหากยาวเกินไป เมื่อติดนั้นก็จะทำให้กระดกและติดไม่ดีนัก เพราะฉะนั้นแล้วจึงควรที่จะตัดให้พอดี ขั้นที่ 2 หลังจากทำการตัดจนพอดีแล้ว ให้นำขนตาปลอมมาดัดให้เป็นตัวซี ค้างไว้เพียงแค่ 3 วินาที ก็จะช่วยให้ขนตานั้นเป็นรูปร่างที่คงตัว และจะไม่ทำให้ทั้งส่วนหัวและส่วนปลายนั้นกระดกขึ้นมา ขั้นที่ 3 และให้นำกาวสำหรับติดขนตาปลอมมาติดบริเวณเส้นขอบ โดยสามารถทำได้สองวิธีก็คือ การติดกาวโดยตรงจากหลอดกาว แต่ถ้าหากว่าไม่มั่นใจในเรื่องของความสั่นของมือ ก็เปลี่ยนเป็นนำกาวหยอดไว้ในที่สะอาดที่เตรียมเอาไว้แล้วให้ใช้แหนบแตะกาว และค่อยๆนำมาทาที่เส้นขอบของขนตาปลอม ขั้นที่ 4  เมื่อทากาวจนเรียบร้อยก็ให้ทิ้งไว้ 10 วินาที ก่อนที่จะเอาไปติด ขั้นที่ 5 หลังจากที่เลือกวางจุดเอาไว้แล้ว ก็ให้ติดลงไปได้ทันที ซึ่งถ้าหากติดลงไปแล้วและเมื่อกาวเลอะเปลือกตาก็ไม่ต้องสนใจ เนื่องจากกาวจะแห้งไปเอง ขั้นที่ 6  เมื่อติดขนตาปลอมเสร็จแล้วทั้งสองข้างเสร็จเรียบร้อย แล้วหลังจากนั้นให้ใช้มาสคาร่าสีใกล้เคียงกับขนตา ปัดทับอีกหนึ่งรอบ …

อ่านต่อ »
วิธีการนับประจำเดือนอย่างถูกต้อง รอบเดือนขาด ลา มาสาย รู้ทันป้องกันได้

วิธีการนับประจำเดือนอย่างถูกต้อง รอบเดือนขาด ลา มาสาย รู้ทันป้องกันได้

ถ้าหากว่าจะให้พูดถึงในเรื่องของการนับประจำเดือนนั้น ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เนื่องจากว่าการที่รู้จักนับประจำเดือนนั้น เรียกได้ว่าสามารถที่จะช่วยเราได้ในหลายๆเรื่องโดยเฉพาะคนที่ต้องการจะตั้งครรภ์ยิ่งเรียกได้ว่าจำเป็นอย่างมากเลยทีเดียว รวมไปถึงอาการผิดปกติต่างๆที่อาจพบได้ เพราะฉะนั้นแล้วจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้วิธีเบื้องต้นในการนับประจำเดือน โดยจะมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ วิธีนับประจำเดือน โดยในเรื่องของวิธีการนับนั้นก็ คือ ผู้หญิงมักจะมีประจำเดือน 1-8 วัน ซึ่งจะไม่เกินนี้ แต่ถ้าหากว่าประจำเดือนมามากกว่า 8 วัน ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ และสำหรับการนับก็คือ วันที่ประจำเดือนมาวันแรก จะถือว่าเป็นวันที่หนึ่ง และหลังจากนั้นก็นับไปเรื่อยๆ จนเมื่อไหร่ก็ตามที่ประจำเดือนมาอีกรอบก็ถือเป็นวันที่ 1 ใหม่ โดยสำหรับระยะเวลาปกติที่จะมา จะมีระยะเวลาที่ 21-35 วัน โดยถ้าหากระยะเวลามากกว่าหรือน้อยกว่าก็สามารถกลายเป็นความผิดปกติได้ ข้อควรรู้ ซึ่งอย่างที่ทราบดีเลยว่า ถ้าหากประจำเดือนนั้นมามากเกินระยะเวลาหรือน้อยกว่าระยะเวลา จะถือว่าผิดปกติ สำหรับเวลาส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยนั้นจะอยู่ที่ 28 วัน ดังนั้นถ้าหากว่าต่ำกว่าที่กำหนดหรือเกินนั้น ก็ต้องรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจส่งผลอันตรายให้คุณนั้นกลายเป็นโรคอื่นๆตามมาได้เลยทีเดียว ข้อดีของการนับประจำเดือน รู้วันสร้างความปลอดภัย สำหรับใครที่ต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์นั้น จำเป็นที่จะต้องนับรอบเดือน ถ้าหากคุณนั้นไม่ต้องการที่จะใช้ถุงยาง ซึ่งการนับวันนั้นจะเป็นการช่วยเตือนว่าวันไหนเป็นวันที่ปลอดภัย ซึ่งในการจดนั้นก็จะต้องมีระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือนเพื่อความแน่นอน โดยสำหรับวิธีนี้ก็จะต้องมีการคำนวณด้วยเช่นกันคือ การเอารอบที่ยาวที่สุดมาเพื่อลบกับ 11 และรอบที่สั้นที่สุดลบกับ 18 ซึ่งนอกเหนือไปจากนี้ก็คือวันที่จะปลอดภัย ตัวอย่างเช่น รอบเดือนสั้นสุดวันที่ 27 กับยาวสุดวันที่ …

อ่านต่อ »
งูสวัดเกิดจากสาเหตุอะไร ติดต่อทางไหน แนวทางการรักษา

งูสวัดเกิดจากสาเหตุอะไร ติดต่อทางไหน แนวทางการรักษา

โรคงูสวัด เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยในประเทศไทย ซึ่งโรคนี้นั้นเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า วาริเซลล่า ซอสเตอร์ ไวรัส เป็นไวรัสตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสนั่นแหละ ดังนั้นอาการของงูสวัดจึงคล้ายกับอาการของโรคอีสุกอีใสมากเลยทีเดียว คือมีตุ่มใสๆ มีหนองข้างในขึ้นทั่วบริเวณร่างกาย แต่ความแตกต่างนั้นอยู่ที่ การที่เราจะเป็นโรคงูสวัดได้นั้น ต้องผ่านการเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน สำหรับอาการของโรคงูสวัดนั้นเป็นอย่างไร เรามาดูกันค่ะ 1. อย่างที่บอกว่าเมื่อเราได้รับเชื้อ วาริเซลล่า ซอสเตอร์ ไวรัส (Varicella Zoster Virus) เข้ามาสู่ร่างกายครั้งแรกนั้น มักจะทำให้เกิดอาการตัวร้อน มีผื่นและตุ่มหนองขึ้นทั่วร่างกาย ซึ่งก็คือโรคอีสุกอีใสนั่นเอง และเมื่อหายจากโรคนี้แล้วเราจะไม่เป็นโรคอีสุกอีใสนี้อีกเลยตลอดชีวิต แต่จะเป็นโรคงูสวัดแทน เพราะเชื้อไวรัสต้นเหตุนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ถูกกำจัดออกไปจากร่างกายของเรา แต่หลบมุมอยู่ภายในระบบประสาท และไม่สามารถออกฤทธิ์ได้หากภูมิคุ้มกันของเรายังแข็งแรง ดังนั้นหนึ่งในวิธีป้องกันโรคงูสวัดที่ได้ผลดีที่สุดคือการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเอาไว้อยู่ตลอดเวลานั่นเองค่ะ 2. เริ่มแรกนั้นผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนโดยหาสาเหตุไม่ได้ เนื่องจากไวรัส วาริเซลล่า ซอสเตอร์ ไวรัสที่ซ่อนตัวอยู่ในระบบประสาทนี้ สามารถเพิ่มจำนวนขึ้นมาได้จนเกิดเป็นอาการติดเชื้อ ทำให้เส้นประสารทเกิดการแสบร้อนหรือปวดจี๊ดๆ 3. หลังจากเกิดอาการปวดแสบมาได้ประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ ออกผื่นสีแดง และมีน้ำอยู่ข้างใน เรียงกันตามแนวเส้นประสาททั่วร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของชื่อโรคงูสวัด เพราะมันมีลักษณะยาวคล้ายงู ส่วนใหญ่มักจะปรากฏตามแขน ขา หรือเอว ซึ่งเมื่อเกิดเป็นตุ่มหนองแล้ว มักจะแตกออกและตกสะเก็ดหายไปได้ในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ 4. …

อ่านต่อ »