หน้าแรก » อาหารเพื่อสุขภาพ

อาหารเพื่อสุขภาพ

7 เคล็ดลับ วิธีการเลือกซื้อผักสดปลอดสารพิษ แบบพ่อบ้านแม่บ้านมืออาชีพ

7 เคล็ดลับ วิธีการเลือกซื้อผักสดปลอดสารพิษ แบบพ่อบ้านแม่บ้านมืออาชีพ

ผักสดนั้นเป็นวัตถุดิบยอดฮิตที่คนไทยเรานิยมนำมาใช้ปรุงเป็นอาหาร เพราะอาหารไทยแต่ละชนิดนั้นมักจะมีส่วนผสมของทั้งผักและเครื่องเทศต่างๆ อยู่ไม่มากก็น้อย ในสมัยก่อนนั้นการเลือกซื้อผักสดนั้นไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงอะไรมากมายเพราะผักนั้นยังสด ปลอดสารเคมี มีคุณภาพ และสามารถหาซื้อหรือหามารับประทานได้ง่ายทั่วไป แต่สมัยนี้การเลือกซื้อผักสดนั้นต้องใช้วิจารณญาณอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าผักที่แม่ค้านำมาขายให้เรานั้นสดจริงหรือเปล่า ใช้สารเคมีหรือเปล่า วันนี้เราจึงมีเทคนิคในการเลือกซื้อผักสดมาฝากกันค่ะ 1. ควรเลือกซื้อผักที่มีขายตามฤดูกาล เพราะนอกจากจะมีราคาที่ถูกกว่าผักนอกฤดูกาลแล้ว ยังจะได้ผักที่สดสะอาดปลอดจากสารเร่งการเจริญเติบโตต่างๆ ข้อแนะนำอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ควรเลือกซื้อผักที่มีเศษดินติดอยู่ และขณะซื้อให้สังเกตดูให้ดีว่าผักมีคราบจากน้ำยาฆ่าแมลงหรือไม่ และเลือกซื้อผักที่มีรูพรุนตามใบบ้าง เพราะนั่นหมายถึงเป็นผักที่ใช้ยาหรือสารเคมีน้อยนั่นเอง 2. ผักสดพื้นบ้านที่ขายกันตามตลาดมักไม่มีสารเคมีเจือปน เช่น กระถิน ดอกแค ชะอม หน่อไม้ ทั้งนี้เพราะเป็นพืชที่ไม่ต้องพึงการบำรุง สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ และส่วนใหญ่ออกดอกหรือให้ผลผลิตตลอดทั้งปี 3. ผักกาดขาวหรือผักกะหล่ำปลี ควรเลือกดูหัวที่มีน้ำหนักมาก เพราะนั่นหมายถึงมีใบที่ชิดกันมากอยู่ภายในนั่นเอง ซึ่งผักสองชนิดนี้เรามักจะเลือกรับประทานที่ใบ แนะนำให้เลือกหัวที่มีช่วงก้านเล็กและแคบ 4. การเลือกซื้อผักคะน้า ไม่ควรเลือกที่มีก้านแก่เกินไปนัก วิธีการสังเกตผักคะน้าว่าแก่หรือไม่ให้ดูตรงรอยตัดบริเวณโคนต้น ซึ่งจะสามารถมองเห็นเส้นสีขาวเล็กๆ ซึ่งยิ่งเป็นผักที่แก่มากเท่าไหร่ เส้นที่ว่านี้ก็จะใหญ่มากขึ้นเท่านั้น 5. แตงกวา ควรเลือกลูกที่ยังเขียวอยู่แม้ว่าจะมีผิวขรุขระบ้างก็ตาม เพราะลูกที่ยังเขียวคือลูกอ่อน ที่ถ้าผิวของแตงเริ่มเป็นสีขาวแสดงว่าแก่แล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเลือกแตงไม่ให้ขมนั้น ควรเลือกลูกที่ไม่ลีบจนเกินไปจะช่วยได้ค่ะ 6. หากเป็นผักจำพวกมะเขือ ให้เลือกดูที่ขั้ว ถ้าพบว่ามีลักษณะแบนราบติดไปกับผล ไม่ควรเลือกซื้อเพราะหมายถึงผลเริ่มจะเหี่ยวแล้ว 7. หากเป็นผักจำพวกบวบ ควรเลือกดูที่เหลี่ยม ไม่ควรซื้อผลที่มีเหลี่ยมแบน หรือสั้นลงเพราะนั่นคือผลที่กำลังเริ่มแก่แล้วนั่นเอง …

อ่านต่อ »

10 คุณประโยชน์ของโยเกิร์ต อาหารเพื่อคนรักสุขภาพ

โยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้ระหว่างการหมักนมด้วยแบคทีเรีย ในระหว่างกระบวนการทำชีส ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์นมอย่างหนึ่ง ซึ่งเจ้าโยเกิร์ตนี้มีจุลินทรีย์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายไม่ว่าจะเป็น แลคโตบาซิลลัส บัลแกริคัส เดลบริคิโอ สเตรปโตคอคคัส ฯลฯ และวันนี้เราจะมาพูดถึงคุณประโยชน์ต่างๆ ของโยเกิร์ตกันค่ะ 1. ในโยเกิร์ตนั้นเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเลิศ เพราะในโยเกิร์ตนั้นจะมีโปรตีนมากกว่าในนมถึง 20 เปอร์เซ็นต์และนอกจากนั้นยังเป็นโปรตีนที่สามารถย่อยง่ายไม่ทำให้ท้องอืดเหมือนโปรตีนที่ได้จากนม 2. ป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อลำไส้ไม่ว่าจะเป็น ซัลโมเนลลา , อีโคไล , โคลิฟอร์มแบคทีเรีย พูดง่ายๆ ก็คือโยเกิร์ตสามารถยังยั้งอาการปวดท้องหรือท้องเสียที่เกิดจากเจ้าเชื้อโรคดังกล่าวได้นั่นเอง 3. มีการวิจัยออกมาว่า การรับประทานโยเกิร์ดเป็นประจำนั้นสามารถรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน หรือโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างดี 4. โยเกิร์ตช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากนมได้ดีขึ้น โดยในโยเกิร์ตมีกรดแลคติกที่ช่วยย่อยแคลเซียมได้ง่ายนั่นเอง 5. ในโยเกิร์ตมีแลคโตบาซิลลัส ซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนั้นยังสามารถควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ที่อยู่ในเลือดได้ ดังนั้นจึงมักเห็นผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน มีส่วนผสมของโยเกิร์ตอยู่ 6. นอกจากนั้นเจ้าแลคโตบาซิลลัส ยังสามารถช่วยตรวจจับสารโลหะหนัก สารก่อมะเร็งและกรดน้ำดีซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายได้ พูดง่ายๆ ก็คือโยเกิร์ตนั้นเป็นสารที่ยับยั้งและป้องกันการเกิดมะเร็งได้นั่นเอง นอกจากนั้นแลคโตบาซิลลัสยังสามารถยับยั้งไม่ให้แบคทีเรียในลำไส้สร้างสารไนเตรทที่เป็นอันตรายอีกชนิดหนึ่งกับร่างกายได้อีกด้วย 7. โยเกิร์ตสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยมีการวิจัยบางชนิดพบว่า หากรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ถ้วย แบคทีเรียในโยเกิร์ตจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ร่างกายป่วยไข้ได้ง่าย 8. ช่วยฆ่าเชื้อราต่างๆ ได้ โดยเฉพาะเชื้อราบริเวณช่องคลอดของสาวๆ ซึ่งมักจะทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ …

อ่านต่อ »

รู้ทันข้อดี – ข้อเสียของน้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มยอดนิยมตั้งแต่สมัยโบราณ

น้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่รู้จักกันมานานตั้งแต่ในสมัยโบราณ ด้วยจุดเด่นเรื่องของความอร่อยควบคู่ไปกับประโยชน์มากมายมหาศาล หนำซ้ำยังเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มได้ทั้งวันไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า สาย บ่าย หรือดื่มในมื้อค่ำก็ได้ ด้วยความที่เป็นที่นิยมจึงมีให้ดื่มกันได้ทุกที่ทั่วประเทศ แต่จะมีกี่คนกันนะ ที่รู้ถึงข้อดีและข้อเสียของเจ้าน้ำเต้าหู้ ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่า เจ้าเครื่องดื่มยอดนิยมชนิดนี้ มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรกันบ้างครับ ข้อดี 1. ในน้ำเต้าหู้นั้นมีสารอาหารต่างๆ มากมายซึ่งเป็นผลดีต่อร่างกาย เช่นโปรตีน ในน้ำเต้าหู้นั้นให้โปรตีนสูงมากเทียบเท่าที่พบในนมวัวเลยก็ว่าได้ และยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าที่พบในนมวัวเสียอีก 2. ในน้ำเต้าหู้มีสารชนิดหนึ่งเรียกว่า “ไฟโตเอสโตรเจน” (Phytoestrogen) ซึ่งมีส่วนในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิง ซึ่งการรับประทานน้ำเต้าหู้เป็นประจำ สามารถลดการเกิดมะเร็งชนิดนี้ลงได้ นอกจากนั้นแล้ว สารไฟโตเอสโตรเจนนี้ยังช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และลดอาการวิตกกังวลที่อาจเกิดขึ้นได้ในวัยทอง 3. สามารถหารับประทานได้ง่าย ที่ไหนก็มีขาย และที่สำคัญเป็นอาหารที่มีราคาถูก ข้อเสีย 1. อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมได้หากรับประทานมากเกินไป ทั้งนี้เพราะมีงานวิจัยกล่าวว่า สารไฟโตเอสโตรเจนนี้ สามารถทำเซลล์มะเร็งเติบโตได้เช่นกันหากรับประทานมากเกินไป เพราะเจ้าสารนี้ทำหน้าที่เสมือนเป็นฮอร์โมนในร่างกาย ดังนั้นเมื่อได้รับเข้าไปมากเกินความจำเป็นก็จะเป็นตัวเร่งมะเร็งเต้านมนั่นเอง 2. มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งในจีน พบว่าการดื่มน้ำเต้าหู้เป็นประจำจะทำให้เด็กเข้าสู่วัยรุ่นได้ง่ายมากขึ้น 3. น้ำเต้าหู้ส่วนมากนั้นมีน้ำตาลเยอะเกินไป โดยเฉพาะที่ขายกันตามร้านทั่วไปนั้น ผู้ผลิตมักจะใส่น้ำตาลทรายในระดับที่มาก เพราะต้องการเน้นไปที่รสหวาน เนื่องจากน้ำเต้าหู้นั้นมักจะมีกลิ่นเหม็นเขียวจากถั่วเหลืองอยู่บ้าง และบางคนอาจจะดื่มไม่ได้เพราะกระสากลิ่น ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่จะใช้รสหวานดับกลิ่นชนิดนี้ ซึ่งหากรับประทานเจ้าน้ำเต้าหู้ที่ผสมน้ำตาลมากๆ จำเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงได้นั่นเองครับ จะเห็นได้ว่า แม้แต่อาหารที่มีประโยชน์อย่างน้ำเต้าหู้นั้น …

อ่านต่อ »
โทษของการดื่มน้ำอัดลมมีอะไรบ้าง ส่งผลเสียต่อสุขภาพเราอย่างไร

โทษของการดื่มน้ำอัดลมมีอะไรบ้าง ส่งผลเสียต่อสุขภาพเราอย่างไร

ใครชอบดื่มน้ำอัดลมบ้าง ครับ ระวังให้ดีนะ การดื่มน้ำอัดลมมากๆ จะทำให้เป็นโทษต่อร่างกาย  เวลาไปตามงานต่างๆ มักจะเจอน้ำอัดลมเยอะแยะ ตั้งอยู่ รู้หรือไม่ว่า ถ้าดื่มมากเกินไป ดื่มบ่อยๆ จะมีโทษต่อร่างกายเช่นกัน สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารควรหลีกเลี่ยงครับ ถ้าดื่มไป อาการที่เป็นอยู่จะออกอาการทันที วันนี้ผมมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ การดื่มน้ำอัดลม ว่ามีโทษต่อร่างกายอย่างไร ตามมาดูกันเลยครับ โทษของน้ำอัดลม น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มที่ใครๆ ก็ชอบดื่ม ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ใหญ่ นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่ยอดฮิต อีกอย่างหนึ่งก็ว่าได้  แต่การดื่มน้ำอัดลมนั้นเป็นโทษต่อร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็ง หรือโรคเบาหวาน  ขอจำแนกออกเป็นดังนี้ มะเร็งปากมดลูก เป็นที่ทราบกันดีว่า น้ำอัดลมนั้นมีน้ำตาล เป็นจำนวนมาก  เมื่อดื่มเข้าไปมากๆ จึงทำให้อ้วน ความอ้วนเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน และนำพาไปสู่โรคมะเร็งชนิดหนึ่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นในผู้หญิงในวัยที่หมดประจำเดือนแล้ว เมื่อดื่มน้ำอัดลมมากๆ โอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปากมดลูกชนิดที่ 1 มีสูง โดยเริ่มต้นจากชนิดที่1 ไปสู่ชนิดที่2   ควรระวังนะครับ เรื่องการดื่มน้ำอัดลม มะเร็งเต้านม สำหรับเด็กผู้หญิง ที่ดื่มน้ำอัดลมมากๆ มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม จากการที่ดื่มน้ำอัดลมเพียง 1.5 กระป๋องต่อวัน จึงทำให้เด็กผู้หญิงโตเป็นสาวเร็วกว่าปกติ จากการวิจัยพบว่าเด็กผู้หญิง ที่มีอายุ …

อ่านต่อ »

วิธีทำราดหน้าให้อร่อย สูตรราดหน้ารสเด็ด ทำกินได้ ทำขายรวย

ราดหน้า ถือเป็นอาหารยอดฮิตที่เป็นที่นิยมของคนไทยอย่างหนึ่ง ด้วยจุดเด่นที่มีความอร่อยถูกปาก สามารถปรุงแต่งรสชาติเพิ่มเติมได้ตามใจ และยังหากินได้ง่าย มีขายแทบจะทุกที่เลยก็ว่าได้ แต่หลายคนก็มักจะพากันสงสัย ว่าการกินราดหน้าที่ร้านนั้นอร่อยจริง แต่พอขอวิธีทำเขามาทำกินเองบ้างทำไมไม่อร่อยแบบนั้นก็ไม่รู้ ดังนั้นวันนี้เราจึงมีสูตรการทำราดหน้าให้อร่อยถูกปากมาฝากกันค่ะ วัตถุดิบ หมูสันในหั่นชิ้นพอดีคำ ประมาณ 2 ขีด หรือใครที่ไม่ชอบเนื้อหมูอาจเปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์ชนิดอื่นได้ เช่น ไก่ กุ้ง ปลาหมึก เป็นต้น ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ ประมาณ 3 ขีด คะน้าหั่นพอดีคำประมาณ 2 – 3 ต้น เต้าเจี้ยวดำ/กระเทียม สับละเอียดประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ / ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืชประมาณ 1/4 ถ้วย แป้งข้าวโพดประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่นและน้ำตาลทรายป่นอย่างละ 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำซุป พริกชี้ฟ้าหั่นแว่น วิธีทำ ผสมซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทรายเข้าด้วยกัน นำหมูหรือเนื้อสัตว์ที่เตรียมไว้ลงไปหมัก เติมพริกไทยป่นเล็กน้อย พร้อมนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน …

อ่านต่อ »